อะไรที่เป็นสเต็มเซลล์ทารกที่แท้จริง
สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ



สเต็มเซลล์ คือหนึ่งในกลุ่มเซลล์ที่มีศักยภาพสูงสุดในร่างกายมนุษย์ มักถูกเรียกว่า มาสเตอร์เซลล์ สเต็มเซลล์กระตุ้นการสร้างหรือพัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นๆซึ่งเป็นองค์ประกอบในทุกๆ ส่วนของร่างกาย รวมทั้งซ่อมแซมฟื้นฟูเนื้อเยื่อและอวัยวะทุกส่วน
สเต็มเซลล์มีความสามารถเพิ่มจำนวนตัวเองและพัฒนาไปเป็นเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมนุษย์มากกว่า 220 ชนิด ไทย สเตมไลฟ์ ให้บริการเก็บและฝากเซลล์จากเลือดสายสะดือหรือเป็นที่รู้จักในชื่อ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (สร้างโลหิต) ซึ่งมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกับสเต็มเซลล์จากไขกระดูกและกระแสโลหิต แต่มีความอ่อนเยาว์กว่าและง่ายกว่าในการพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นๆ
หน้าที่หลักของเซลล์เหล่านี้คือการเจริญเติบโตเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด แต่จากงานวิจัยล่าสุดพบว่าทั้งในเลือดสายสะดือ เนื้อเยื่อสายสะดือ เยื่อหุ้มรก ยังมีเซลล์อีพีซีซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดหลอดเลือด (เซลล์สำหรับสร้างเส้นเลือด) และเซลล์เอ็มเอสซี (สามารถเจริญเป็นกระดูก กระดูกอ่อน เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อ) ทำให้โอกาสนำไปใช้ไม่มีที่สิ้นสุด
สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ
เลือดที่อยู่ในสายสะดือของทารกแรกเกิดเป็นหนึ่งในแหล่งของสเต็มเซลล์ผู้ใหญ่ที่สำคัญที่สามารถเก็บตั้งแต่แรกคลอดที่เรียกว่า สเต็มเซลล์เลือดสายสะดือ
ภายหลังจาการเก็บเลือดสายสะดือด้วยระบบปิดมาตรฐานนานาชาติสากลของเรา เลือดจะถูกส่งมายังห้องปฏิบัติการของเรา (ในกรุงเทพ ไม่ใช่ส่งไปห้องปฏิบัติการในประเทศที่ห่างไกลหรือต่างจังหวัดที่เสี่ยงน้ำท่วม) เพื่อเข้าสู่กระบวนการในห้องปฏิบัติการโดยเทคโนโลยีล่าสุดของ SEPAX จากนั้น
สเต็มเซลล์ที่ผ่านการคัดแยกจะถูกแช่แข็งในอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ซึ่งจะหยุดกระบวนการทำงานภายในเซลล์ ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดของสเต็มเซลล์ เลือกเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือลูกของคุณในกรุงเทพกับไทยสเตมไลฟ์ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงเสียหายจากการสูญเสียความเย็นระหว่างการขนส่งออกนอกประเทศ

สำคัญกว่านั้น คุณรู้ว่าคุณสามารถติดต่อใครและคุณสามารถมาเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการของเราได้เสมอ เป็นการง่ายและปลอดภัยกว่าสำหรับคุณที่จะขอใช้สเต็มเซลล์ในยามจำเป็นในอนาคตโดยไม่ต้องส่งสมาชิกอันเป็นที่รักไปรับการรักษายังประเทศที่ห่างไกล กับคนแปลกหน้าที่มีวัฒนธรรมต่างกัน บริษัทเรายังมีถัง “Cryoshipper” ซึ่งเป็นถังสำหรับบรรจุสเต็มเซลล์ด้วยระบบไนโตรเจนเหลวที่เคลื่อนย้ายได้สำหรับการขนส่งสเต็มเซลล์ไปทั่วโลก

การเก็บเลือดสายสะดือทำได้ง่ายมากหลังจากที่ลูกคุณคลอดโดยปราศจากความเสี่ยง ไม่รบกวนกระบวนการคลอดปกติ (ไม่ว่าจะเป็นการคลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอด) ภายในเวลา 5 นาที เลือดสายสะดือจะถูกเก็บหลังจากสูติแพทย์ตัดสายสะดือออกจากตัวทารก ซึ่งการเก็บเลือดจะไม่เกิดความเจ็บปวดใดๆทั้งมารดาและทารก! โอกาสที่คนในครอบครัวเดียวกันจะมีเนื้อเยื่อตรงกันสูงกว่าคนนอกครอบครัว (1 ใน 4 เทียบกับ 1 ใน 50,000) ทำให้คนอื่นในครอบครัวอาจสามารถใช้สเต็มเซลล์ที่เก็บไว้ได้ถ้าในอนาคตมีความจำเป็น (ต้องตรวจความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อเอชแอลเอก่อน) ในอนาคตข้อบ่งชี้ในการใช้สเต็มเซลล์จะมากขึ้น ในปัจจุบัน มากกว่า 100 โรคที่รักษาได้ด้วยสเต็มเซลล์ และแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจสามารถนำไปใช้กับโรคทางหัวใจหรือสมอง (โรคหลอดเลือดสมอง ไขสันหลังบาดเจ็บ) ในอนาคตอันใกล้ ผลการวิจัยทดลองกับโรคพาร์คินสันและอัลไซเมอร์ที่อยู่ระหว่างการศึกษาเป็นที่น่าพอใจ จำนวนครอบครัวทั่วโลกที่เลือกเก็บเลือดอันมีคุณค่าที่เต็มไปด้วยสเต็มเซลล์เพิ่มขึ้นมากและบริการนี้ก็พร้อมสำหรับคุณเช่นกัน


โรค
ที่รักษา

ข้อบ่งชี้
ในการปลูกถ่ายไขกระดูก
โรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด
1
ภูมิคุ้มกันบกพร่องทั้งทีและบีเซลล์แบบรุนแรง
2
ภูมิคุ้มกันบกพร่องร่วมกับมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำและมีขนาดเล็ก
3
กลุ่มโรคไขกระดูกทำงานล้มเหลว
4
โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (รุนแรง)
5
โรคโลหิตจางแต่กำเนิดแฟนโคนี
6
โรคโลหิตจางแต่กำเนิดไดมอนด์แบลคแฟน
เมตาบอลิซึมผิดปกติตั้งแต่กำเนิด
1
โรคเอ็มพีเอส (การคั่งหรือสะสมของ
สารมิวโคโพลีแซคคาริโดซิส)
(เช่น ฮันเตอร์หรือ เฮอร์เลอร์ ซินโดรม)
2
ภาวะเสื่อมของสมองส่วนสีขาว
3
โรคความผิดปกติในการจัดเก็บไกลโคโปรตีน (เช่น ไม่สามารถย่อยน้ำตาลฟิวโคส หรือ น้ำตาลแมนโนส)
4
กลุ่มโรคความผิดปกติการสะสมไขมันในไลโซโซม (เช่น โรคโกเช่, โรคพอม-เพ หรือ โรคนีแมนน์พิก)
5
โรคกระดูกหิน (กระดูกแข็งที่เปราะและแตก โพรงไขกระดูกไม่เจริญ)
6
กลุ่มโรคกระดูกเปราะแต่กำเนิดเกิดจากความผิดปกติในการสร้างคอลลาเจน
ความผิดปกติในการสร้างฮีโมโกลบิน
1
โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
2
โรคโลหิตจางแบบซิกเคิลเซลล์ (เม็ดเลือดแดงรูปเคียว)
โรคมะเร็งหรือความผิดปกติของต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก
1
2
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอิลอยด์
3
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กินและนอนฮอดจ์กิน
4
ไมอีโลดิสพลาสติก ซินโดรม (เอ็มดีเอส) ภาวะไขกระดูกผิดปกติก่อนเป็นมะเร็ง
5
โรคที่ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดบางชนิดมากผิดปกติ มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
6
มะเร็งไขกระดูกชนิดมัยอิโลมา
7
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดลิมฟอยด์
เนื้องอกมะเร็ง
1
มะเร็งเต้านม
2
มะเร็งรังไข่
3
มะเร็งของเซลล์ไต
4
5
มะเร็งอัณฑะ
มะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก
6
มะเร็งกระดูกอีวิงซาร์โคม่าในเด็ก
7
มะเร็งตับอ่อน
8
9
มะเร็งลำไส้ใหญ่
มะเร็งสมองชนิดเมดดัลโลบลาสโตมา
มะเร็งในเด็ก
1
2
3
มะเร็งที่ไตในเด็ก
มะเร็งปมประสาทในเด็ก (นิวโรบลาสโตมา)
มะเร็งกระดูกอีวิงซาร์โคม่าในเด็ก
4
เนื้องอกสมองกลิโอมาที่มีความรุนแรง (เช่น มะเร็งสมองชนิด เมดดัลโลบลาสโตมา)
5
เนื้องอกสมอง
อื่นๆ
1
โรคพีเอ็นเอช (การทำลายเม็ดเลือดแดงที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกัน)
2
3
โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อเป็นภายหลัง
โรคปลอกประสาทอักเสบ (เอ็มเอส)
4
โรคเอสแอลอี (โรคแพ้ภูมิตนเองที่เกิดอาการกับหลายอวัยวะพร้อมกัน)
5
โรคแพ้ภูมิตนเอง เช่น เบาหวานชนิดที่ 1
ข้อมูลจาก : Cord principles in cellular therapy AABB Technical manual 20th edition EMBT 2009.
โอกาสใช้ในอนาคตกับโรค
ที่เกิดจากความเสื่อมทางการแพทย์
ภาวะสมองบาดเจ็บ
1
โรคเบาหวาน
2
โรคหัวใจและหลอดเลือด
3
โรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาท
(พาร์กินโซนิซึม และ โรคอัลไซเมอร์)
4
โรคของข้อต่อ
5
6
ไขสันหลังบาดเจ็บ
7
โรคสมองพิการซีพี
8
โรคตับแข็ง
9
การสูญเสียการได้ยิน
10
ยีนบำบัด
สิ่งยืนยันผลทางการแพทย์
ณ ชานเมืองของกรุงเทพมหานคร มีเด็กชายตัวน้อยอายุ 3 ขวบ คนหนึ่งอาศัยอยู่ เขาลุกขึ้นจากพรมแล้วเดินไปยังกระดานขาวที่ผนัง เด็กน้อยวาดภาพอย่างเพลิดเพลินด้วยปากกาหมึกสีส้ม ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม “เรา มีความสุขมากค่ะ” คุณแม่วัย 35 ปี กล่าว “สองถึงสามวันก่อนหน้านี้เราต้องคอยคะยั้นคะยอให้น้องโพลเดิน แต่น้องก็เดินได้ไม่ถึง 10 ก้าว” คุณแม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เด็กน้อยในฝัน ขณะสัมภาษณ์อยู่นั้นน้องโพลก็เดินเตาะแตะไปรอบๆ พร้อมกับยิ้มกว้าง เด็กชายตัวน้อยมีความสุขกับการหยิบจับโทรศัพท์ของเล่น เขียนกระดาน และช่วยพี่สาวระบายสีในสมุด ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า 1 เดือนก่อนหน้านี้ เขาจะไม่สามารถเล่นและเดินไปรอบ ๆ แบบนี้ได้
ทั้งๆ ที่เด็กน้อยมีความน่ารักและได้รับการดูแลอย่างดีแล้ว แต่สิ่งที่คุณแม่ก็ยังคงวิตกกังวลคือ ลูกชายไม่สามารถนั่งได้ขณะที่มีอายุ 7 เดือน ซึ่งคุณแม่บอกกับเราว่า “หากถามคุณหมอ คุณหมอก็จะบอกว่า ไม่ต้องกังวล เพราะเด็กบางคนอาจมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ” แต่เมื่อครบ 1 ขวบ แล้วลูกชายก็ยังลุกขึ้นมานั่งไม่ได้ จึงเริ่มเห็นได้ชัดว่าลูกมีความผิดปกติ เธอยังกล่าวต่ออีกว่า “เขาเป็นเด็กที่น่ารักมาก และเราไม่อยากให้ความพิการนี้เป็นปมด้อยกับเขาค่ะ”
ตอนแรกไม่มีใครทราบว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร ซึ่งแพทย์ต้องใช้เวลาถึง 8 เดือนก่อนที่จะสรุปออกมาเป็นคําพูดได้ว่าปัญหาที่พบเกิดจากภาวะสมองพิการซีพี (Cerebral palsy) สาเหตุที่ทําให้การวินิจฉัยล่าช้า เนื่องมาจากแพทย์ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบกระดูกสันหลัง และกระดูกอื่นๆ รวมถึงทำการทดสอบหลายๆอย่างเพื่อตัดสาเหตุอื่นที่อาจเป็นเหตุให้เด็กเดินไม่ได้ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นภาวะสมองพิการซีพี (Cerebral palsy) นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละราย และไม่สามารถใช้การตรวจสอบเบื้องต้นเพื่อวินิจฉัยโรคได้